ว่ากันว่าการเล่นและวางแผนเกมฟุตบอลเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลยนะครับ แต่ละแมตช์มีเรื่องของแท็คติก แผนการเล่น และการประสานงานกันของผู้เล่นทุกตำแหน่ง พอเราเข้าใจว่าทีมไหนเล่นยังไง แต่ละคนมีหน้าที่อะไร มันจะทำให้เราเห็นความสวยงามของเกมนี้ชัดเจนขึ้นเยอะเลย ไม่ว่าจะเป็นจังหวะจ่ายบอลสุดเนียนของกองกลาง ท่าสกัดสุดเท่ของกองหลัง หรือลูกยิงสุดคมของกองหน้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในสนามล้วนมีเหตุผลหมดครับ วันนี้ผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับรู สไตล์การเล่นฟุตบอล ต่างๆ ที่ทีมดังระดับโลกใช้กัน รวมถึงหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละตำแหน่งด้วย ผมรับรองว่าถ้าเข้าใจเกมลึกซึ้งขึ้น การดูบอลจะสนุกขึ้นแน่นอนครับ
ประโยชน์ของการเข้าใจ สไตล์การเล่นฟุตบอล บทบาทและหน้าที่ของผู้เล่นแต่ละตำแหน่ง

การเข้าใจบทบาทของนักเตะแต่ละตำแหน่งในสนามไม่ใช่แค่ทำให้ดูบอลสนุกขึ้นเท่านั้น แต่มันทำให้เราเข้าใจเกมได้ลึกซึ้งขึ้นด้วย พอเรารู้ว่าแต่ละตำแหน่งต้องทำอะไรบ้าง เราจะเห็นภาพรวมของเกมชัดเจนและตื่นเต้นมากขึ้น สาเหตุทำไมการเข้าใจบทบาทของนักเตะแต่ละตำแหน่งถึงมีประโยชน์มากขนาดนี้ได้แก่
- เข้าใจเกมได้ลึกซึ้งขึ้น: พอรู้ว่าใครมีหน้าที่อะไรในสนาม เราจะเห็นภาพรวมชัดขึ้นเยอะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่กองกลางคอยคุมเกม หรือจังหวะที่กองหลังช่วยกันป้องกัน มันทำให้เห็นว่าฟุตบอลไม่ใช่แค่เตะบอลเข้าประตู แต่เป็นงานทีมที่ต้องประสานงานกันอย่างลงตัว
- วิเคราะห์เกมได้ดีขึ้น: พอรู้บทบาทของแต่ละคนปุ๊บ เราจะเข้าใจเลยว่าทำไมทีมนี้ถึงชนะ ทีมนั้นถึงแพ้ ไม่ใช่แค่เพราะใครเก่งกว่า แต่เป็นเพราะกลยุทธ์และการเล่นเป็นทีม บางทีทีมชนะอาจเป็นเพราะมีกองกลางที่คุมเกมเก่ง หรือกองหลังที่แกร่งก็ได้ครับ
- เพิ่มความสนุกในการดูบอล: พอเข้าใจบทบาทของแต่ละคน เราจะตื่นเต้นไปกับทุกจังหวะในสนามเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการสกัดบอลที่ดูธรรมดาแต่สำคัญมาก หรือการจ่ายบอลสุดสร้างสรรค์ที่นำไปสู่ประตู มันจะทำให้รู้สึกเหมือนเราเป็นส่วนหนึ่งของเกมมากขึ้น
- เข้าใจกลยุทธ์ของทีม: แต่ละทีมมีสไตล์การเล่นไม่เหมือนกันนะครับ พอเรารู้บทบาทของผู้เล่น เราก็จะเห็นว่าทีมนั้นๆ วางแผนยังไง เช่น ทีมที่ชอบบุกก็จะใช้กองกลางตัวสร้างสรรค์ ส่วนทีมรับก็จะใช้กองกลางตัวรับมาทำลายเกมคู่ต่อสู้
- พัฒนาฝีเท้าตัวเอง: สำหรับคนที่เล่นบอลด้วยนะครับ การรู้บทบาทแต่ละตำแหน่งจะช่วยพัฒนาการเล่นของเราได้เยอะมาก เราจะรู้ว่าตำแหน่งที่เราเล่นต้องมีทักษะอะไร และควรเคลื่อนไหวหรือตัดสินใจยังไงในแต่ละจังหวะ
- คุยบอลได้สนุกขึ้น: พอเข้าใจบทบาทผู้เล่น เราจะคุยเรื่องบอลได้สนุกและมีสาระมากขึ้นครับ ไม่ว่าจะคุยกับเพื่อน แฟนบอลด้วยกัน หรือในโซเชียล เราจะแสดงความเห็นได้น่าสนใจและมีเหตุผล
- เห็นคุณค่าของทุกตำแหน่ง: หลายคนมักจะสนใจแต่คนยิงประตูใช่ไหมครับ แต่พอเข้าใจบทบาทแต่ละตำแหน่ง เราจะเห็นคุณค่าของคนที่ทำงานเบื้องหลังด้วย ไม่ว่าจะเป็นกองหลังที่เล่นได้แข็งแกร่ง หรือผู้รักษาประตูที่เซฟได้สุดยอด
- รักฟุตบอลมากขึ้น: ยิ่งเข้าใจเกมมากขึ้นเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งรู้สึกผูกพันกับฟุตบอลมากขึ้นเท่านั้นครับ อาจถึงขั้นกลายเป็นแฟนบอลตัวจริงที่ติดตามทั้งการแข่งขันและเรื่องราวในวงการลูกหนังอย่างไม่เบื่อ นอกจากนี้ยังช่วยให้เราเลือกทีมฟุตบอลที่ชอบได้ด้วยครับ
เห็นมั้ยล่ะครับ ว่าการเข้าใจบทบาทของนักเตะแต่ละตำแหน่งไม่ได้แค่ทำให้ดูบอลสนุกขึ้น แต่ยังช่วยให้เราเห็นความสวยงามของเกมลูกหนังได้ชัดเจนขึ้น ผมเชื่อว่าความรู้พวกนี้จะทำให้คุณรักฟุตบอลมากขึ้นแน่นอนครับ
4 สไตล์การเล่นฟุตบอล ยอดนิยมที่หลาย ๆ ทีมใช้บ่อย ๆ

รู้มั้ยครับว่าฟุตบอลเป็นเกมที่มีสไตล์การเล่นหลากหลายมากๆ แต่ละทีมก็จะมีแบบฉบับเป็นของตัวเอง ขึ้นอยู่กับว่านักเตะถนัดเล่นยังไง และโค้ชมีแนวคิดแบบไหน รวมไปถึงเกมแข่งขันฟุตบอลเป็นยังไง พอเราเข้าใจสไตล์การเล่นพวกนี้ปุ๊บ รับรองว่าจะเห็นทิศทางของเกมลูกได้ชัดเจนขึ้นเยอะเลยครับ เราลองมาดูสไตล์การเล่นแต่ละแบบกันครับ
ทีมที่เน้นการบุก (Attacking Football)
- ลักษณะการเล่น: ทีมจะเน้นการสร้างโอกาสและทำประตูให้ได้มากที่สุดครับ โดยการบุกขึ้นไปในแดนคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
- จุดเด่น: สร้างความตื่นเต้นให้ผู้ชมด้วยการเล่นที่รวดเร็วและสวยงามครับ มักมีสถิติการทำประตูสูง
- ตัวอย่างทีม: ลิเวอร์พูลครับ (ยุคของเยือร์เกิน คล็อปป์), แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (ยุคของเปป กวาร์ดีโอลา)
- ความท้าทาย: หากการบุกไม่สำเร็จ ทีมอาจเสี่ยงต่อการถูกคู่ต่อสู้โต้กลับได้ง่ายครับ
ทีมที่เน้นการป้องกัน (Defensive Football)
- ลักษณะการเล่น: ทีมจะเน้นการป้องกันอย่างแข็งแกร่งครับ และรอโอกาสในการโต้กลับหรือทำประตูจากช่องโหว่ของคู่ต่อสู้
- จุดเด่น: มักไม่เสียประตูง่ายครับ และสามารถเก็บคะแนนได้แม้เจอทีมที่แข็งแกร่งกว่า
- ตัวอย่างทีม: แอตเลติโก มาดริดครับ (ยุคของดิเอโก ซิเมโอเน), เชลซี (ยุคของโชเซ มูรินโญ)
- ความท้าทาย: การเล่นแบบนี้อาจถูกวิจารณ์ว่าไม่สนุกสำหรับผู้ชมครับ และต้องอาศัยความอดทนสูง
ทีมที่เล่นแบบคุมเกม (Possession-based Football)
- ลักษณะการเล่น: ทีมจะเน้นการครองบอลและควบคุมจังหวะเกมครับ โดยใช้การส่งบอลสั้น ๆ และเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างโอกาส
- จุดเด่น: ทำให้คู่ต่อสู้เหนื่อยและลดโอกาสในการบุกของฝ่ายตรงข้ามครับ
- ตัวอย่างทีม: บาร์เซโลนาครับ (ยุคของเปป กวาร์ดีโอลา), บาเยิร์น มิวนิก
- ความท้าทาย: หากทีมขาดความแม่นยำในการส่งบอล อาจเสียบอลและถูกคู่ต่อสู้โต้กลับได้ครับ
ทีมที่เล่นแบบเร็วและตรง (Counter-attacking Football)
- ลักษณะการเล่น: ทีมจะรอรับการบุกของคู่ต่อสู้ครับ และเมื่อได้บอลก็จะโต้กลับอย่างรวดเร็วด้วยการส่งบอลยาวหรือใช้ความเร็วของนักเตะ
- จุดเด่น: มีประสิทธิภาพในการสร้างโอกาสจากจังหวะที่คู่ต่อสู้เสียสมดุลครับ
- ตัวอย่างทีม: เรอัล มาดริดครับ (ยุคของคาร์โล อันเชลอตติ), เลสเตอร์ ซิตี้ (ยุคที่ชนะพรีเมียร์ลีก)
- ความท้าทาย: ต้องอาศัยนักเตะที่มีความเร็วและความแม่นยำในการจบสกอร์ครับ
ปัจจัยอะไรบ้างที่กำหนดสไตล์การเล่น ?
- ปรัชญาของโค้ช: แต่ละทีมมีสไตล์การเล่นต่างกันตามแนวคิดของโค้ชครับ อย่างเปปชอบให้ทีมครองบอลเยอะๆ ส่วนซิเมโอเนเน้นตั้งรับแน่นๆ โค้ชจะวางแผนซ้อมและจัดทัพตามสไตล์ที่ตัวเองถนัด
- ความสามารถของผู้เล่น: ทีมต้องเลือกวิธีเล่นให้เข้ากับนักเตะที่มีครับ ถ้ามีกองหน้าตัวเร็วก็อาจจะเล่นสวนกลับ แต่ถ้ามีกองกลางที่จ่ายบอลดีๆ ก็อาจจะเน้นครองเกมแทน
- สภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมของทีม: บางทีมก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวครับ อย่างบาร์ซ่าเล่นติกิ-ตากามานาน หรือทีมในสเปนชอบเล่นบอลสั้นๆ สวยๆ ส่วนทีมในอังกฤษก็มักจะเล่นบอลยาวเพราะสนามเปียกฝนตกบ่อย
บทบาทและหน้าที่ของผู้เล่นในตำแหน่งต่าง ๆ

1.ผู้รักษาประตู (Goalkeeper)
ผู้รักษาประตูเป็นด่านสุดท้ายของทีมครับ หน้าที่หลักคือกันไม่ให้บอลเข้าประตู แต่ในฟุตบอลยุคใหม่ต้องทำได้มากกว่านั้น ต้องเซฟได้แม่น ออกมาชาร์จบอลได้ไว และที่สำคัญต้องเล่นบอลด้วยเท้าได้ด้วย เพราะบางทีทีมต้องเริ่มเกมรุกจากหลังสุด ผมว่าผู้รักษาประตูที่ดีต้องมีทั้งปฏิกิริยาไว สายตาดี และใจถึงพอที่จะออกมาเล่นนอกกรอบเวลาจำเป็น ถ้าทำได้ครบทุกอย่างนี่แหละ จะช่วยทีมได้เยอะเลยครับ ทั้งเรื่องการป้องกันประตู และการสร้างเกมรุกจากแดนหลัง
2. กองหลัง (Defender)
ตำแหน่งนี้สำคัญมากในการป้องกันแนวรับของทีม แบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ คือ เซ็นเตอร์แบ็กกับฟุลแบ็ก แต่ละตำแหน่งก็มีหน้าที่และทักษะที่ต้องใช้ต่างกันออกไปดังนี้ครับ
- เซ็นเตอร์แบ็ก (Center-back)
- หน้าที่หลัก: เซ็นเตอร์แบ็กเปรียบเหมือนหัวใจของแนวรับเลยครับ ต้องคอยป้องกันพื้นที่ตรงกลาง คอยสกัดกั้นการบุกของคู่แข่ง ทั้งตัดบอลและปิดช่องทางการเคลื่อนที่ของลูก
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องแข็งแกร่งในการปะทะแน่นอนครับ แถมต้องอ่านเกมเก่ง ตัดสินใจไว เพราะต้องรับมือกับการโจมตีทั้งทางพื้นและกลางอากาศ
- ฟุลแบ็ก (Full-back)
- หน้าที่หลัก: ฟุลแบ็กต้องคอยป้องกันด้านข้างครับ แต่ที่เจ๋งคือต้องวิ่งขึ้นไปช่วยเกมรุกด้วย เพื่อสร้างโอกาสทำประตู
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องวิ่งเร็วแน่นอนครับ ทั้งไล่บี้คู่แข่งและวิ่งกลับมาป้องกัน แถมต้องเปิดบอลและครอสบอลเป๊ะๆ เพื่อช่วยทีมทำประตู
3. กองกลาง (Midfielder)

กองกลางเป็นหัวใจสำคัญของทีมเลยนะครับ เพราะต้องทำหน้าที่เชื่อมเกมทั้งรับและรุก สำหรับกองกลางแบบมีไหนบ้าง มีรายละเอียดดังนี้ครับ
- กองกลางตัวรับ (Defensive Midfielder)
- หน้าที่หลัก: คอยตัดบอลและทำลายเกมรุกของคู่แข่งครับ ต้องคอยปิดพื้นที่ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามเล่นบอลได้ถนัด
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องแกร่งพอที่จะปะทะแย่งบอลได้ และจ่ายบอลสั้นๆ ให้เพื่อนได้แม่นๆ ครับ
- กองกลาง box-to-box (Box-to-box Midfielder)
- หน้าที่หลัก: วิ่งขึ้นลงตลอดทั้งเกมครับ ช่วยทั้งรับทั้งรุก เชื่อมการเล่นจากหลังไปหน้า
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องอึดมากๆ วิ่งได้ทั้งเกม และต้องจ่ายบอลยาวๆ เป๊ะๆ ได้ด้วยนะครับ
- กองกลางตัวรุก (Attacking Midfielder)
- หน้าที่หลัก: เป็นตัวสร้างสรรค์เกมรุกครับ จ่ายบอลให้กองหน้า และหาช่องทางทำประตู
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องจ่ายบอลได้หลากหลายรูปแบบ และยิงไกลได้ดีด้วย เพื่อสร้างโอกาสทำประตูให้ทีม
4. กองหน้า (Forward)
มาพูดถึงกองหน้ากันบ้างนะครับ ตำแหน่งนี้เป็นคนที่ต้องยิงประตูและคอยกดดันแนวรับคู่แข่งตลอดเวลา แบ่งออกเป็นสองแบบหลักๆ คือ กองหน้าตัวเป้ากับปีกครับ
- กองหน้าตัวเป้า (Striker)
- หน้าที่หลัก: ก็ต้องทำประตูเป็นหลักเลยครับ คอยหาจังหวะและตำแหน่งที่ดีๆ ในการรอรับบอลและซัดให้เข้า ไม่ว่าจะเป็นจังหวะยิงเองหรือต่อบอลเข้าไปก็ตาม
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องยิงแม่นแน่นอนครับ แถมต้องเก็บบอลเก่งด้วย เพราะบางทีได้บอลมาในกรอบ ถ้าครองไม่อยู่ก็หมดโอกาสทำประตูเลย
- ปีก (Winger)
- หน้าที่หลัก: พวกนี้จะวิ่งริมเส้นครับ คอยตัดเข้าในหรือเปิดบอลเข้ากลางให้เพื่อนยิง บางทีก็ยิงเองได้ด้วยนะ
- ทักษะที่จำเป็น: ต้องวิ่งไวและเลี้ยงบอลคล่องแน่ๆ ครับ เพราะต้องหลบกองหลังคู่แข่ง แล้วก็ต้องเปิดบอลดีๆ ให้เพื่อนทำประตูได้ด้วย
การปรับตัวและกลยุทธ์สไตล์เกมที่มักพบบ่อย ๆ ในการเข่งขัน

ในฟุตบอลนี่เรื่องการปรับแผนเล่นให้เข้ากับสถานการณ์สำคัญมากเลยนะครับ เพราะมันไม่ใช่แค่การเตรียมทีมมาอย่างเดียว แต่ต้องพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในเกม ทีมที่ปรับตัวเก่งมักจะมีโอกาสชนะสูงกว่า เพราะสามารถแก้เกมได้ทันท่วงทีเมื่อเจอปัญหา
ปรับแผนตามสถานการณ์ยังไงดี?
- เมื่อทีมกำลังนำหรือตามหลัง:
- ตามหลัง: ก็ต้องดันเกมรุกหนักขึ้นครับ อาจจะส่งกองหน้าลงเพิ่ม เล่นบอลยาวๆ หรือเร่งจังหวะเกมให้เร็วขึ้น เพื่อสร้างโอกาสทำประตูให้ได้มากที่สุด บางทีมอาจจะเปลี่ยนมาเล่นระบบ 3 กองหลังเพื่อเพิ่มตัวรุก
- นำอยู่: ส่วนใหญ่จะเน้นครองบอลให้นานที่สุดครับ รับให้แน่น และพยายามควบคุมจังหวะเกม ระวังไม่ให้เสียประตูง่ายๆ แต่ก็ต้องไม่ถอยลึกจนเกินไป เพราะอาจโดนกดดันหนักจนพลาดได้
- เจอใบแดงหรือคนเจ็บ:
- ต้องรีบจัดทัพใหม่ทันทีครับ โดยเฉพาะถ้าเหลือผู้เล่นน้อยกว่า ต้องยึดแนวรับให้แน่น ปรับระยะห่างระหว่างตัวผู้เล่นให้เหมาะสม และอาศัยจังหวะสวนกลับทำประตู
- บางทีก็ต้องสลับตำแหน่งกันเล่นครับ ให้มันเติมเต็มจุดที่ขาดไป โดยเฉพาะผู้เล่นที่มีความสามารถหลากหลาย อาจต้องรับบทบาทใหม่เพื่อช่วยทีม
เทคนิคพิเศษที่แต่ละทีมนิยมใช้ในการแข่งขัน
- ลูกตั้งเตะ - จุดเปลี่ยนเกมสำคัญ:
- จังหวะฟรีคิกหรือจุดโทษเป็นโอกาสทองในการทำประตูเลยนะครับ โดยเฉพาะในเกมที่สูสีกัน การซ้อมลูกตั้งเตะอย่างหนักและมีแผนการเล่นที่ชัดเจนสามารถเปลี่ยนผลการแข่งขันได้อย่างสิ้นเชิงครับ
- นักเตะที่มีความเชี่ยวชาญในการยิงฟรีคิกหรือเปิดบอลแม่นยำสูงมักจะเป็นตัวชูโรงของทีมเลยครับ สร้างโอกาสทำประตูได้แม้ในจังหวะที่เกมรุกปกติทำไม่สำเร็จ
- การใช้จุดแข็งของทีมให้เป็นประโยชน์สูงสุด:
- ความเร็ว (สปีด): ทีมที่มีปีกหรือกองหน้าความเร็วสูงมักจะใช้กลยุทธ์การวิ่งริมเส้นครับ สร้างพื้นที่ว่าง และตัดเข้ากลางอย่างฉับพลัน การโจมตีแบบสวนกลับเร็วเช่นนี้มักทำให้แนวรับคู่แข่งปรับตัวไม่ทันเลยครับ
- ความได้เปรียบด้านส่วนสูง: ทีมที่มีผู้เล่นร่างสูงจะเน้นการเล่นลูกกลางอากาศครับ ทั้งจากลูกเตะมุม ลูกเปิดจากริมเส้น และลูกฟรีคิกระยะไกล โดยมีการวางตำแหน่งผู้เล่นอย่างแยบยล
การปรับแผนการเล่นให้เข้ากับสถานการณ์เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จเลยนะครับ โดยเฉพาะในการแข่งขันระดับสูง ทีมที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัว วิเคราะห์จุดแข็งของตนเอง และเตรียมพร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ จะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงกว่าคู่แข่งอย่างเห็นได้ชัดครับ ความสามารถในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ระหว่างเกมนี้เองที่มักเป็นตัวชี้วัดความแตกต่างระหว่างทีมระดับแชมป์กับทีมธรรมดาครับ
การเข้าใจสไตล์การเล่นฟุตบอลและบทบาทของผู้เล่นแต่ละตำแหน่งจะทำให้คุณดูบอลสนุกขึ้นมาก คุณจะเห็นความมหัศจรรย์ของเกมนี้ในมุมที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ไม่ว่าทีมโปรดของคุณจะเล่นสไตล์ไหน ทั้งบุกดุเดือด รับแน่น หรือครองบอลยาวๆ ทุกรูปแบบล้วนมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์ครับ ลองนึกภาพดูนะครับ เมื่อคุณเห็นกองหลังสกัดบอลสวยๆ กองกลางจ่ายบอลทะลุแนวรับ หรือกองหน้าซัดประตูเข้าอย่างเฉียบคม คุณจะเข้าใจได้ทันทีว่าแต่ละคนทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีเพียงใด แล้วถ้าดูบอลไปเรื่อยๆ ผมรับรองว่าคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญฟุตบอลได้ไม่ยากเลย หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจกีฬาฟุตบอลมากขึ้นนะครับ แล้วคุณล่ะครับ ชอบดูทีมที่เล่นสไตล์ไหน? ตำแหน่งไหนที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุด? คอมเมนต์มาแชร์กันได้เลยครับ!
คำถามที่พบบ่อย
1. สไตล์การเล่นแบบไหนดีที่สุด?
จริงๆ แล้วไม่มีสไตล์ไหนที่ดีที่สุดหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับหลายอย่างเลย ทั้งฝีเท้าของนักเตะ แท็คติกของโค้ช และสถานการณ์ในเกม บางทีมอาจจะเน้นบุกจนคู่ต่อสู้ต้านไม่อยู่ แต่บางทีมก็อาจจะถนัดเล่นรับแน่นๆ หรือครองบอลนานๆ แล้วรอจังหวะเหมาะๆ ก็ได้ครับ
2. ตำแหน่งไหนสำคัญที่สุดในทีม?
ทุกตำแหน่งสำคัญหมดเลยครับ เพราะฟุตบอลเป็นกีฬาทีม แต่ถ้าให้พูดถึงตำแหน่งที่คนมักจะมองว่าสำคัญมากๆ ก็คือกองกลางครับ เพราะเป็นตัวคุมจังหวะเกม เชื่อมเกมรับ-รุก แต่จะว่าไปแล้ว ทั้งกองหลังที่คอยสกัดลูก หรือกองหน้าที่ทำประตู ก็ขาดไม่ได้เลยนะครับ
3. ทำไมบางทีมถึงต้องเปลี่ยนสไตล์กลางคัน?
ก็เหมือนเวลาเราเล่นเกมนั่นแหละครับ ต้องปรับตามสถานการณ์ เช่น ถ้าโดนนำก็ต้องเร่งเครื่องบุกหนักหน่อย หรือถ้านำอยู่ก็อาจจะถอยมารับเพื่อรักษาสกอร์ บางทีก็มีเหตุไม่คาดฝันอย่างนักเตะเจ็บหรือโดนใบแดง ก็ต้องปรับแผนกันใหม่ครับ
4. กองกลางต้องมีสกิลอะไรบ้าง?
กองกลางนี่ต้องเป็นคนรอบจัดเลยครับ ทั้งเรื่องการส่งบอลให้แม่นๆ อ่านเกมให้ขาด ปะทะแย่งบอลได้ดี และต้องอึดด้วยนะ โดยเฉพาะพวกกองกลางตัวสร้างสรรค์เกม ต้องจ่ายบอลเทพๆ ยิงไกลได้ด้วย ส่วนกองกลางตัวรับก็ต้องเก่งเรื่องสกัดบอล คุมพื้นที่ให้อยู่ครับ